รากฟันเทียมคืออะไร ?
รากฟันเทียม คือ วัสดุที่ฝังลงบนกระดูกขากรรไกร เพื่อทดแทนส่วนที่เป็นรากฟันของฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป
วัสดุที่ใช้ทำรากฟันเทียม
รากฟันเทียมโดยทั่วไปแล้วจะผลิตจากโลหะผสมไททาเนียม เนื่องจากมีความแข็งแรงและสามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกายได้ดี
รากฟันเทียมเหมาะกับใครบ้าง ?
รากฟันเทียม สามารถทำได้กับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 21 ปี ขึ้นไป มีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะรับการผ่าตัดในช่องปากได้อย่างปลอดภัยในกรณีวัยรุ่นจะยังมีการเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกร จึงจำเป็นต้องรอให้ขากรรไกรหยุดการเจริญเติบโตก่อน จึงจะสามารถใส่รากฟันเทียมได้
ข้อดีของรากฟันเทียม
- ในกรณีที่ทำเพื่อแทนฟันที่ถอนไปบางซี่จะไม่มีการสูญเสียเนื้อฟันธรรมชาติของฟันข้างเคียงที่เหลืออยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับการทำสะพานฟัน
- ในกรณีที่ทำเป็นฟันเทียมชนิดถอดได้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดติดของฟันเทียมในช่องปาก
- คล้ายฟันธรรมชาติ (ใช้งานและสวยงามใกล้เคียงฟันธรรมชาติ)
ข้อเสียของรากฟันเทียม
- ค่าใช้จ่ายสูง และถ้าหากผู้ป่วยมีกระดูกไม่แข็งแรง หรือไม่เพียงพอก็ต้องมีการผ่าตัดและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- การผ่าตัดฝังรากฟันเทียมอาจจะต้องมีการผ่าตัดหลายครั้ง
- ใช้ระยะเวลาในการรักษาจนเสร็จสมบูรณ์นานกว่าการทำสะพานฟันปกติ เนื่องจากต้องแบ่งการรักษาเป็น 2 ระยะ โดยการทำรากฟันเทียมจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 2 – 3 เดือน
ขั้นตอนทั่วไปของการรักษาด้วยรากฟันเทียม
- พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสภาพฟันต่างๆ ภายในช่องปากและพิมพ์ปากเพื่อนำมาวางแผนการรักษา
- ถ่ายภาพรังสีเพื่อประเมินสภาพกระดูกและโครงสร้างอื่น เช่น เส้นประสาท โพรงอากาศของคนไข้
- ฝังรากฟันเทียมและรอไปอีกอย่างน้อย 2 – 3 เดือน เพื่อให้เกิดการยึดติดของรากฟันเทียมกับกระดูก
- ทำครอบฟัน สะพานฟัน หรือฟันเทียมชนิดอื่น
การดูแลรักษา
หลังการปลูกรากฟันเทียมสามารถดูแลและรักษาสุขภาพของปากและฟันได้เหมือนการดูแลปกติทั่วไป และทำความสะอาดเป็นพิเศษ บริเวณที่ทำการปลูกรากฟันเทียมและบริเวณเหงือกโดยรอบ ด้วยแปรงขัดที่มีลักษณะพิเศษ ขนาดเล็กและควรเข้ารับการตรวจช่องปากกับทันตแพทย์เป็นประจำ
การรักษาด้วยการฝังรากเทียมนี้ หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและเข้ารับการตรวจสภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ ฟันทดแทนก็สามารถมีอายุการใช้งานเสมือนหนึ่งฟันแท้ซี่อื่นๆ เช่นกัน
ที่มา : www.dt.mahidol.ac.th